วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กรมสุขภาพจิต ห่วงใย วัยรุ่นไทย 10 – 19 ปี ป่วย “ซึมเศร้า” กว่า 1 ล้านคน



ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีข่าวการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยมีผลมาจาก โรคซึมเศร้าซึ่งสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากความเครียดไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน การเรียนในแต่ละวัน หรือจากการทำงาน ล้วนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะวัยรุ่นไทย มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 44 หรือมีประมาณ 3 ล้านกว่าคน
ล่าสุด กรมสุขภาพจิต เผยผลการศึกษาพบว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีวัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน แต่อาการป่วยดูยากมักมาด้วยพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง ใช้ยาเสพติด ฯลฯ ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิสัยเกเร ดังนั้น กรมสุขภาพจิตจึงจับมือราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จัดทำแนวทางการดูแลรักษาให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้วัยรุ่นที่มีปัญหาได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นอย่างทันท่วงที โดยคาดว่าจะสามารถพร้อมใช้ในต้นปีหน้านี้
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงปัญหาโรคซึมเศร้าว่า เป็นภาวการณ์เจ็บป่วยที่ต้องเร่งรักษาและป้องกัน เนื่องจากโรคนี้ส่งผลต่อการสูญเสียทั้งชีวิต การงาน การเรียน การเข้าสังคมของผู้ป่วย องค์การอนามัยโลกระบุว่าในปีที่ผ่านมาประชากรโลกเผชิญปัญหานี้ 1 ใน 20 คน และเมื่อป่วยแล้วมีอัตราป่วยซ้ำได้สูงถึงร้อยละ 50-70 ที่น่าวิตกไปกว่านั้น ยังพบว่าโรคซึมเศร้าเป็นต้นเหตุใหญ่ทำให้วัยรุ่นทั่วโลกฆ่าตัวตายหรือไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตส่วนของประเทศไทย มีผลการศึกษาพบวัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงร้อยละ 44 หรือมีประมาณ 3 ล้านกว่าคนจากวัยรุ่นที่มีทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน และมีอัตราป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 18 คาดว่าขณะนี้ทั่วประเทศมีวัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน แต่ยังเข้าถึงบริการน้อย เนื่องมาจากลักษณะอาการทางอารมณ์และพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ป่วยซึมเศร้าจะไม่เหมือนอาการของผู้ใหญ่ กล่าวคือ อาจมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น มีอารมณ์ก้าวร้าวหรือแปรปรวนง่าย หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้ยาเสพติด หรืออาจแยกตัว ไม่กล้าเข้าสังคม ทำให้ผู้ปกครอง ครู เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปัญหานิสัยเกเร จึงทำให้วัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้าจำนวนมากไม่ได้รับการช่วยเหลือและนำไปสู่ปัญหาอื่นๆที่มีความรุนแรงขึ้นตามมา เช่น ฆ่าตัวตาย ทำร้ายคนอื่น ติดยา เรียนไม่จบ เป็นต้น
ขณะเดียวกันด้วยลักษณะเฉพาะของตัววัยรุ่นเอง ที่ไม่ต้องการถูกระบุว่ามีปัญหา อาจปฏิเสธการไปรับการรักษา โดยเฉพาะเมื่อเจอผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจ ตำหนิ กรมสุขภาพจิตได้เร่งแก้ไขปัญหา โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พัฒนาแนวทางการดูแลรักษาวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้าให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เพื่อให้วัยรุ่นที่มีปัญหาได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นอย่างทันท่วงที
ด้านแพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า สถาบันฯได้ร่วมมือกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย จัดทำแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า เพื่อให้แพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลทั่วประเทศใช้เป็นแนวทางในการดูแลรักษา ป้องกันภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นได้อย่างถูกต้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของวัยรุ่น และระบบบริการมากที่สุด คาดว่าจะพร้อมใช้ต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 นี้
วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า มี 4 กลุ่มใหญ่ที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่
1. ผู้ที่มีประวัติเป็นคนในครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวช เช่น เป็นโรคซึมเศร้า โรคอารมณ์ 2 ขั้ว โรควิตกกังวล สมาธิสั้น
2. มีโรคเรื้อรังทางกาย เช่นโรคมะเร็ง โรคไต โรคที่ทำให้ร่างกายผิดรูปหรือมีผลต่อภาพลักษณ์
3. ผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตสังคม เช่น อกหัก ใช้สารเสพติด ตั้งครรภ์ ปัญหาการเรียน โดนรังแก ใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
4. กลุ่มที่มีครอบครัวไม่อบอุ่น มีความขัดแย้งในครอบครัว รวมทั้งการเลี้ยงดูที่ขาดการสอนทักษะการจัดการอารมณ์ตนเองสำหรับแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า มี 4 ส่วนหลักได้แก่
1.การคัดกรองซึมเศร้า ซึ่งทางสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นกำลังพัฒนาเครื่องมือและช่องทางที่เข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น
2. การตรวจวินิจฉัย การตรวจร่างกายและตรวจสภาพทางจิต
3.การรักษาด้วยยา และการทำจิตบำบัดเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมและอารมณ์ทางบวก ปรับความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า ซึ่งจะสามารถลดภาวะซึมเศร้าลงได้ภายใน 4 สัปดาห์
4.การส่งเสริมการป้องกันปัญหาซึ่งครอบครัวและโรงเรียนมีส่วนสำคัญ เนื่องจากวัยรุ่นต้องการความรัก ความเข้าใจ อีกทั้งเป็นต้นแบบที่ดีในการจัดการความขัดแย้ง ส่งเสริมให้วัยรุ่นรู้จักใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา ในส่วนของโรงเรียน ควรมีระบบการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะซึมเศร้าของนักเรียน เช่น การจัดกิจกรรมเสริมสร้างพลังเข้มแข็งทางใจ ทักษะชีวิต เป็นต้น
(ที่มาhttps://rabbitfinance.com)



วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บีบีซีของอังกฤษทำการสำรวจชาวเยอรมันทั้งประเทศว่าประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ



บีบีซีของอังกฤษ ทำการสำรวจชาวเยอรมันทั้งประเทศ เพื่อรู้ว่าทำไมเยอรมันถึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่สำเร็จการเป็น Fully industrialized country ประเทศเดียวในโลก คือ ประเทศอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบ
-----------------------------
1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่ายๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่ายๆเช่นกัน
3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว
10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์ก
12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจ หากจะได้เป็น Housewife
13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ
14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 4 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล
19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เปิด 10 อาชีพยุคใหม่ อนาคตไม่ตกงาน เรื่องโดย Nation TV | ภาพโดย Nation TV 1 พฤษภาคม 2561 09:58


เปิด 10 อาชีพยุคใหม่ตอบโจทย์ประเทศ ประสบความสำเร็จไม่ตกงาน เผยปี 60 คนไทยว่างงาน 4.8 แสนคน ชี้สายงาน"การขาย-ตลาด-บัญชี"และธุรกิจ "ขนส่ง-โลจิสติกส์ "ยังต้องการกำลังคนอีกมาก ขณะที่ "Data Artist" นักวิเคราะห์ข้อมูล เป็นอาชีพที่มาแรง
            นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าข้อมูลอาชีพในอนาคต ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย 10 อันดับ ได้แก่
 1.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความสวย ความงาม ทั้งแพทย์ศัลยกรรม แพทย์ผิวหนัง ทันตแพทย์ เภสัชกร พนักงานขายสินค้าด้านความงาม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับหญิงและชาย
 2. อาชีพเขียนโปรแกรมเมอร์ คิดค้นแอพพลิเคชั่นต่างๆ ตามเทรนด์สังคมโลกเปลี่ยนผ่านจากอะนาล็อกสู่ดิจิตอล สอดคล้องกับไทยที่กำลังก้าวสู่อินดัสทรี 4.0 ที่มีดิจิตอลเป็นส่วนสำคัญ
3.อาชีพดูแลด้านสุขภาพ ครอบคลุมตั้งแต่เด็กถึงวัยชรา
4.อาชีพเกี่ยวกับพลังงาน การประหยัดพลังงาน การดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า เด็กเรียนจบวิศวกรรมด้านไฟฟ้าจะมีงานทำแน่นอน
 5.อาชีพด้านวิทยาศาสตร์เคมี ชีวเคมี เพราะโลกใช้สารเคมีที่มาจากธรรมชาติ พืช
6.อาชีพที่ชำนาญเกี่ยวกับเครื่องกลขั้นสูง
7.อาชีพเกี่ยวกับการใช้ภาษา
8.อาชีพนักกฎหมายธุรกิจ และนักกฎหมายระหว่างประเทศ
9.อาชีพที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งนักอนุรักษ์จะมีความสำคัญ และ
10.อาชีพเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง อย่าง สัตวแพทย์ ผู้ผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์เลี้ยง ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง แฟชั่นสัตว์เลี้ยง และการผลิตอาหารสัตว์ เป็นต้น
          รายงานตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร? จากทีดีอาร์ไอ(ข้อมูลเดือนต.ค.60) ระบุว่าประชากรวัยแรงงาน 56.05 ล้านคน ผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 37.22 ล้านคน ผู้มีงานทำ 36.65 ล้านคน แรงงานในระบบ 15.34 ล้านคน แบ่งเป็น แรงงาน Semi-Skilled ขึ้นไป 41.8% กลุ่มลูกจ้างเอกชน 14.4 ล้านคน ส่วนแรงงานนอกระบบ 21.31 แสนคน แบ่งเป็น ภาคเกษตรกร 11.04 ล้านคน ทำงานส่วนตัว10.27 ล้านคน มีผู้ว่างงาน 4.8 แสนคน และผู้อยู่นอกกำลังแรงงาน 18.83 ล้านคน แบ่งเป็น ทำงานบ้าน 5.72 ล้านคน เรียนหนังสือ 4.44 ล้านคน พระ/เณร 0.33 ล้านคน ผู้ต้องขัง 0.30 ล้านคน อยู่ในสถานพินิจ 0.03 ล้านคนผลสำรวจตลาดแรงงาน และภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไทย
โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ระบุถึงสถานการณ์ในปี 2560 ที่ผ่านมาว่า สายงานที่ตลาดแรงงานต้องการสูงสุด อันดับ 1. งานขายและการตลาด อันดับ 2. งานบัญชีและการเงิน อันดับ 3. งานไอที อันดับ 4. งานวิศวกร อันดับ 5. งานบริการลูกค้า ขณะที่ ธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานสูงสุด ได้แก่ 1 กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ บริการเฉพาะกิจ และการท่องเที่ยวและสันทนาการ 2. สินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมเครื่องจักร และยานยนต์ 3. เทคโนโลยี กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4. เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และ5. สินค้าอุปโภคและบริโภค
     นายเอกก์ ภทรธนกุล อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าโลกนี้ มีอาชีพเยอะมาก โดยอาชีพหลักๆ มีประมาณ 600 กว่าอาชีพ และตอนนี้ อนาคตต้องยอมรับว่าจะมีเทคโนโลยี หรือที่เรียกกันว่าปัญญาประดิษฐ์ AI หุ่นยนต์เข้ามาทำหน้าที่แทนคน ซึ่งทุกอาชีพสามารถถูกแทนที่ได้หมดหากทำงานเป็นระบบ ซ้ำๆแบบเดิมๆ
แต่หากจะทำอาชีพใดก็ตาม แต่มี 4 ทักษะดังต่อไปนี้ เชื่อว่าจะถูกแทนที่ด้วย AI ได้ยาก คือ
1. มีความคิดสร้างสรรค์ AI ถูกโปรแกรมให้ทำตามระบบ ซึ่งสามารถทำงานได้เร็ว ถูกต้อง แม่นยำ แต่AI ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์แบบที่คนมี
2.การใช้ประสาทสัมผัส อาชีพที่มีการใช้ประสาทสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง เช่น นักออกแบบกลิ่นหอม นักออกแบบเสียง คนเหล่านี้จะมีงานทำตลอด เพราะต่อให้หุ่นยนต์ AI มีข้อมูล ความรู้มากมาย แต่ไม่สามารถออกแบบกลิ่นหอมได้ถูกใจคนจริงๆ หรือออกแบบเพลงได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งแบบคนด้วยกันนั้น หรืออาชีพ แพทย์แผนโบราณแบบจีน เป็นการใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่างที่ AI ไม่สามารถทำงานแทนได้
3.คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรืออาชีพที่ต้องใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทุกอาชีพต้องมีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น แพทย์ให้กำลังใจผู้ป่วย นักขายประกัน ขายของต้องเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้า หากทุกอาชีพเข้าใจ รู้จักอารมณ์ของผู้อื่น และถ่ายทอดอารมณ์ได้ก็จะทำให้อยู่ในอาชีพที่ตนเองต้องการได้ เพราะAI เน้นระบบ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์และ
 4.ความฉลาดทางสังคม หรือเสน่ห์ของคน หุ่นยนต์ AI ไม่ได้มีเสน่ห์ หรือรู้จักการเข้าสังคม การเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย คุยและรับฟังเรื่องของผู้อื่นได้ เป็นนักฟังที่ดีได้เท่ากับคน




วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างปกรายงาน STC-อ.ยุทต์ สังข์ทอง -จิตวิทยาทั่วไป






รายงาน
                 
เรื่อง ....................................................................................................................


เสนอ
                         อาจารย์..........................................................................


จัดทำโดย

1.ชื่อ.....................นามสกุล..............................รหัสนักศึกษา....................
2.ชื่อ......................นามสกุล...............................รหัสนักศึกษา...................
3.ชื่อ......................นามสกุล..............................รหัสนักศึกษา...................


วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา.......................รหัสวิชา.......................
    คณะ..............................................สาขา.....................................................
   ภาคเรียนที่ ................................... ปีการศึกษา..........................................


วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 4 พัฒนาการมนุษย์ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม

พัฒนาการมนุษย์มีความสำคัญอย่างไร ?
พันธุกรรม คืออะไร?        
สิ่งแวดล้อม  คืออะไร?



1. ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์
              กระบวนการพัฒนาการของมนุษย์    เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นประโยชน์ในการเข้าใจถึงพัฒนาการของทั้งตนเองและบุคคลอื่น  อัตราการพัฒนาการและเจริญเติบโตในแต่ละวัยจะไม่เท่ากัน   กล่าวคือ  ในช่วงวัยทารกถึงวัยเด็กเล็กและระยะวัยรุ่นนั้น   อัตราการพัฒนาการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าในช่วงวัยอื่นๆ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจะร่วมกันมีบทบาทในการพัฒนาด้านต่างๆ   ของบุคคล   อันจะมีผลต่อเนื่องในการกำหนดบุคลิกภาพของบุคคล   ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับ  อารมณ์  สังคม  ร่างกาย  และสติปัญญา  โดยเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับบุคคลทุกคน
2.พันธุกรรม

                พันธุกรรมเป็นการถ่ายทอดคุณลักษณะทางด้านชีวภาพจากของบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน  โดยคุณลักษณะทางชีวภาพเหล่านี้จะมีอยู่ในยีนส์  (Gene)  และจะถ่ายทอดไปโดยผ่านโครโมโซม  (Chromosome) โดยที่บุคคลในครอบครัวเดียวกันหรือสืบสายโลหิตเดียวกัน  จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่  โดยเฉพาะในด้านของรูปร่างหน้าตา  สีผม  สีผิว  สีตา  อันเป็นลักษณะที่ปรากฏมาให้สังเกตเห็นได้ภายนอก  รวมทั้งกลุ่มเลือดและโรคภัยบางอย่างที่ถ่ายทอดกันทางสายเลือด

บทที่ 3 การสัมผัสและการรับรู้


1. การสัมผัส คืออะไร? การสัมผัสทำให้เกิดความรู้สึกความรู้สึก (Sensation) ได้หรือไม่?
2. การรับรู้ (Perception)   คืออะไร?
สาระสำคัญ
1. การที่ประสาทสัมผัสเป็นกระบวนการที่ประสาทสัมผ้สรับสิ่งเร้าจากภายนอกมาสู่ระบบประสาทและเปลี่ยนเป็นการรับรู้ มนุษย์จะมีการรับสัมผัสได้ 5 ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง
2. การรับรู้เป็นกระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสต่างๆการเปลี่ยนความหมายของสิ่งที่รับรู้นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต การเรียนรู้ สภาพจิตในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้นๆ
3. พุทธศาสนา เชื่อว่ามนุษย์สามารถรับรู้โดยไม่ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5ได้การับรู้ทางจิตของมนุษย์สามารถฝึกฝนได้โดยใช้สติและสมาธิ

4. มนุษย์มีการรับรู้และการแปลความหมายเหตุการต่างกัน การพยายามเข้าใจโลก การรับรู้ของผู้อื่น จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจเพื่อนมนุษย์ได้ดีขึ้น
§สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ” คำกล่าวนี้ดูจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสัมผัสในรูปแบบต่างๆ เช่น การสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย สัมผัสว่ามีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์เช่นไร ?
§หรือ ขณะนี้นศ.กำลังอ่านหน้งสืออยู่ สายตากำลังรับสัมผัสจากตัวหนังสือโดยผ่านกระแสประสาทตา และหูกำลังฟังดนตรีไพเราะจากคอมฯในห้อง เสียงดนตรีจะผ่านเข้าทางกระแสประสาทหู ถ้าหากกระแสของเราผ่านประสาทหูของเราแปลความหมายว่า นั่นเป็นเสียงเพลงที่เราชอบด้วยแล้วเราอาจละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่าน ปล่อยจิตใจให้ดื่มด่ำไปกับอำนาจของเสียงเพลงตามการรับรู้ในขณะนั้น
§การสัมผัสและการรับรู้เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์อยู่ตลอดเวลา

บทที่ 2 แรงจูงใจ


จะทำอย่างไรให้ นศ.ทุกคนกระตืนรือร้นยากมาเรียนร่วมกันอย่างมีความสุขและตรงต่อเวลา?
ท่ามกลางความแตกต่างจะประสานพลังสู่ความสำเร็จมีทักษะวิธีง่ายๆ อย่างไร?
แรงจูงใจ คืออะไร?
เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง?
1. แรงจูงใจเป็นกระบวนการที่สร้างและกระตุ้นให้บุคคลเกิดพฤติกรรมทั้งที่เป็นพฤติกรรมโดยสัญชาติญาณและพฤติกรรมจากการเรียนรู้
2. กระบวนการจูงใจจะเกิดได้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย โดยจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ผลักดันให้บุคคลต้องแสดงพฤติกรรม ทั้งเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต
        3.กระบวนการจูงใจสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา การกล่อมเกลาพฤติกรรมอันพึงประสงค์ เป็นประโยชน์เชิงธุรกิจ การเมืองการปกครองและทางการศาสนาได้ ในทางตรงกันข้ามสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเสียหายต่อระบบต่างๆ ของสังคมได้เช่นกัน


2. ความสำคัญของจิตวิทยา


      จิตวิทยามีอิทธิพลและบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ การศึกษาทางจิตวิทยาจะทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเราเองและพฤติกรรมของคนในสังคมต่อการกระทำที่เกิดขึ้น จึงทำให้สามารถใช้เป็นแนวทางในการประเมินเหตุการณ์ต่างๆได้


วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

1. ความหมายของจิต


          ความหมายของจิตวิทยาที่เป็นยอมรับในปัจจุบัน คือศาสตร์ที่ศึกษาทั้งพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตด้วยระเบียบวิธีเชิงวิทยาศาสตร์  ( Feldman.1996 : 5)
  จุดประสงค์ในการศึกษาจิตวิทยาของนักจิตวิทยามี 4 ประการ (Matlin.1995:2)
  1. ต้องการบรรยาย ลักษณะพื้นฐานของพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตโดยใช้การสังเกตอย่างเป็นระบบ
  2. ต้องการอธิบายว่าทำไมพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตเกิดขึ้นไม่ได้
 3. ต้องการทำนาย เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบนพื้นฐานของเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา
  4. ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตให้มีลักษณะที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
  5. ต้องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตให้มีลักษณะที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
 

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาทั่วไป


จิตวิทยา (Psychology) 
       คำว่า Psychology (จิตวิทยา)มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ๒ คำ ได้แก่
                    Psyche (Mind = จิตใจ)
                    Logos (Knowledge = ศาสตร์(การศึกษา),องค์ความรู้(การเรียนรู้)) ความหมายโดยรวมของ Psychology  หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรมของอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสำคัญ เพื่ออธิบาย ทำความเข้าใจทำนาย และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆได้

คำว่า psychology


คำว่า psychology ก็แปลว่า การศึกษา เรียนรู้ เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ หรือ จิตวิทยา
             สัญลักษณ์ประจำสาขาจิตวิทยา คือ psyche  เมื่อพูดถึง psyche ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึง นางไซคี กับ อีรอส หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่หากกล่าวว่า นางไซคี กับ คิวปิด  เป็นตำนานรักของสองคนนี้น่าสงสารมาก..กามเทพ หรือ คิวปิด เมื่อโตเป็นหนุ่มได้ชื่อว่า อีรอส ได้หลงรักสตรีนางหนึ่งชื่อว่า"ไซคี" ทุกวัน อีรอสจะต้องไปหานางไซคีและพูดคุยกับนางในความมืด โดยที่นางไม่เคยรู้เลยว่าชายที่รักหน้าตาเป็นเช่นไร    
            แล้ววันหนึ่งพวกญาติของนางได้ยุนางให้เปิดไฟเวลาที่อีรอสมาหาเพื่อจะได้รู้ว่าชายที่รักเป็น คน ผี หรือ อะไรกันแน่ นางหลงเชื่อเมื่ออีรอสมาหานางจึงเปิดไฟ และแล้วสิ่งที่นางพบคือชายรูปงามที่สุด เขามีปีกสีทองนางยินดีมากแต่นางหารู้ไม่ว่านางได้ทำลายความเชื่อมั่นของอีรอสไปเสียสิ้น อีรอสบินออกไปนอกหน้าต่าง นางไซคีร้องเรียกให้กลับมา อีรอสหันหลังกลับมาแล้วยิ้มให้ทั้งน้ำตาและบอกว่า “ความรักจะโบยบินจากเจ้าไป เมื่อเจ้าขาดความเชื่อใจ” 

          จากนั้น ไซคี ผู้น่าสงสารก็ออกตามหา อีรอส  ... เทพี อโฟรไดท์ หรือวีนัส แม่ของอีรอส ผู้ซึ่งอิจฉาในความงามของ ไซคี อยู่ก็ทำการกลั่นแกล้งนางสารพัดเพื่อไม่ให้พบกับ อีรอส
          แต่ในตอนสุดท้าย ทั้งคู่ก็พบกัน ความสมหวัง จบแบบที่ชาวบ้าน รู้สึกพอใจกัน (happy ending) และสัญลักษณ์ประจำเอกจิตวิทยาก็คือ โลโก้รูปสามง่ามที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นี่แหละ...จึงต้อง Psychology