ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีข่าวการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
โดยมีผลมาจาก “โรคซึมเศร้า”
ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากความเครียดไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน
การเรียนในแต่ละวัน หรือจากการทำงาน ล้วนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้
โดยเฉพาะวัยรุ่นไทย มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 44 หรือมีประมาณ
3 ล้านกว่าคน
ล่าสุด กรมสุขภาพจิต
เผยผลการศึกษาพบว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีวัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน
แต่อาการป่วยดูยากมักมาด้วยพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง
ใช้ยาเสพติด ฯลฯ ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิสัยเกเร ดังนั้น
กรมสุขภาพจิตจึงจับมือราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
จัดทำแนวทางการดูแลรักษาให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เพื่อให้วัยรุ่นที่มีปัญหาได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นอย่างทันท่วงที
โดยคาดว่าจะสามารถพร้อมใช้ในต้นปีหน้านี้
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง
ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงปัญหาโรคซึมเศร้าว่า
เป็นภาวการณ์เจ็บป่วยที่ต้องเร่งรักษาและป้องกัน
เนื่องจากโรคนี้ส่งผลต่อการสูญเสียทั้งชีวิต การงาน การเรียน
การเข้าสังคมของผู้ป่วย
องค์การอนามัยโลกระบุว่าในปีที่ผ่านมาประชากรโลกเผชิญปัญหานี้ 1 ใน 20 คน และเมื่อป่วยแล้วมีอัตราป่วยซ้ำได้สูงถึงร้อยละ
50-70 ที่น่าวิตกไปกว่านั้น ยังพบว่าโรคซึมเศร้าเป็นต้นเหตุใหญ่ทำให้วัยรุ่นทั่วโลกฆ่าตัวตายหรือไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง
ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตส่วนของประเทศไทย มีผลการศึกษาพบวัยรุ่นไทยอายุ
10-19 ปี
มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงร้อยละ 44 หรือมีประมาณ 3
ล้านกว่าคนจากวัยรุ่นที่มีทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน
และมีอัตราป่วยเป็นโรคนี้ร้อยละ 18 คาดว่าขณะนี้ทั่วประเทศมีวัยรุ่นป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า
1 ล้านคน แต่ยังเข้าถึงบริการน้อย
เนื่องมาจากลักษณะอาการทางอารมณ์และพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ป่วยซึมเศร้าจะไม่เหมือนอาการของผู้ใหญ่
กล่าวคือ อาจมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น
มีอารมณ์ก้าวร้าวหรือแปรปรวนง่าย หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้ยาเสพติด
หรืออาจแยกตัว ไม่กล้าเข้าสังคม ทำให้ผู้ปกครอง ครู
เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปัญหานิสัยเกเร
จึงทำให้วัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้าจำนวนมากไม่ได้รับการช่วยเหลือและนำไปสู่ปัญหาอื่นๆที่มีความรุนแรงขึ้นตามมา
เช่น ฆ่าตัวตาย ทำร้ายคนอื่น ติดยา เรียนไม่จบ เป็นต้น
“ขณะเดียวกันด้วยลักษณะเฉพาะของตัววัยรุ่นเอง
ที่ไม่ต้องการถูกระบุว่ามีปัญหา อาจปฏิเสธการไปรับการรักษา
โดยเฉพาะเมื่อเจอผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจ ตำหนิ กรมสุขภาพจิตได้เร่งแก้ไขปัญหา
โดยให้สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พัฒนาแนวทางการดูแลรักษาวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้าให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
เพื่อให้วัยรุ่นที่มีปัญหาได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นอย่างทันท่วงที”
ด้านแพทย์หญิงมธุรดา
สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า
สถาบันฯได้ร่วมมือกับราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย
จัดทำแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า
เพื่อให้แพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลทั่วประเทศใช้เป็นแนวทางในการดูแลรักษา
ป้องกันภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นได้อย่างถูกต้อง
ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองใช้เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของวัยรุ่น
และระบบบริการมากที่สุด คาดว่าจะพร้อมใช้ต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2561 นี้
วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า มี 4 กลุ่มใหญ่ที่ควรให้ความสำคัญ
ได้แก่
1. ผู้ที่มีประวัติเป็นคนในครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวช เช่น เป็นโรคซึมเศร้า
โรคอารมณ์ 2 ขั้ว โรควิตกกังวล สมาธิสั้น
2. มีโรคเรื้อรังทางกาย เช่นโรคมะเร็ง โรคไต
โรคที่ทำให้ร่างกายผิดรูปหรือมีผลต่อภาพลักษณ์
3. ผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตสังคม เช่น อกหัก ใช้สารเสพติด
ตั้งครรภ์ ปัญหาการเรียน โดนรังแก ใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
4. กลุ่มที่มีครอบครัวไม่อบอุ่น มีความขัดแย้งในครอบครัว
รวมทั้งการเลี้ยงดูที่ขาดการสอนทักษะการจัดการอารมณ์ตนเองสำหรับแนวทางการดูแลวัยรุ่นที่มีภาวะซึมเศร้า
มี 4 ส่วนหลักได้แก่
1.การคัดกรองซึมเศร้า ซึ่งทางสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นกำลังพัฒนาเครื่องมือและช่องทางที่เข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น
2. การตรวจวินิจฉัย การตรวจร่างกายและตรวจสภาพทางจิต
3.การรักษาด้วยยา
และการทำจิตบำบัดเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมและอารมณ์ทางบวก ปรับความคิดที่ทำให้ซึมเศร้า
ซึ่งจะสามารถลดภาวะซึมเศร้าลงได้ภายใน 4 สัปดาห์
4.การส่งเสริมการป้องกันปัญหาซึ่งครอบครัวและโรงเรียนมีส่วนสำคัญ เนื่องจากวัยรุ่นต้องการความรัก
ความเข้าใจ อีกทั้งเป็นต้นแบบที่ดีในการจัดการความขัดแย้ง
ส่งเสริมให้วัยรุ่นรู้จักใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหา ในส่วนของโรงเรียน
ควรมีระบบการเฝ้าระวังและป้องกันภาวะซึมเศร้าของนักเรียน เช่น
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างพลังเข้มแข็งทางใจ ทักษะชีวิต เป็นต้น
(ที่มาhttps://rabbitfinance.com)