2. ความสำคัญของจิตวิทยา
จิตวิทยามีอิทธิพลและบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์
การศึกษาทางจิตวิทยาจะทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเราเองและพฤติกรรมของคนในสังคมต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
จึงทำให้สามารถใช้เป็นแนวทางในการประเมินเหตุการณ์ต่างๆได้
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13
ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกายในคริสต์ศตวรรษที่ 15
การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ
มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ
วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง
การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
3.ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา
เดิมจิตวิทยาอยู่ในสาขาของวิชาปรัชญา นั่นก็คือการหาความจริงต่างๆ
ในสมัยโบราณจิตวิทยาใช้วิธี ค้นหาความจริงโดยการคาดคะเนความจริงและหาเหตุผลส่วนตัวของนักปราชญ์มาประกอบกับการอธิบาย
ความจริงที่ได้ค้นพบ
มนุษย์นั้นมีความสนใจและพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเองตั้งแต่สมัยโบราณ แล้ว กล่าวคือ
1.ยุคโชคลางในสมัยโบราณ เกิดจากความกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ
และเข้าใจกันว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นต้องพัวพันอยู่กับสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆ
เช่น ผีสาง เทวดา แม่มด หมอผี และมักจะเชื่อในเรื่องโชคลางต่างๆ
ความเชื่ออย่างนี้ปัจจุบันยังคงเหลือร่องรอยอยู่
2.ยุคปรัชญา เป็นระยะเวลาที่ต่อจากยุคโชคลาง
โดยมีนักปราชญ์ต่างๆช่วยกันคิดค้นหาความหมายของ ชีวิต เช่น ค้นหาว่าชีวิตที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร
เมื่อชีวิตดับแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จิตหรือวิญญาณคืออะไร อยู่ที่ไหน เป็นต้นปรัชญานั้นประกอบไปด้วยความนึกคิดอันชาญฉลาดที่แสดงให้เห็นถึงอุดมคติและทัศนคติส่วนตัวของนักปราชญ์
3.ยุคค้นคว้า ระยะต่อมามนุษย์เริ่มสนใจค้นหาข้อเท็จจริงมากขึ้น
พวกที่สนใจปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ค้นพบสาขาวิชาแตกแขนงออกไป เช่น
คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ พวกที่ค้นคว้าเกี่ยวกับมนุษย์เช่น กายวิภาค สรีรศาสตร์ เป็นต้น
จิตวิทยาก็เป็นวิชาหนึ่งที่แยกมาจากปรัชญาและมีวิชาที่แยกตามอีกคือสังคมศาสตร์ อาจกล่าวได้ว่า จิตวิทยาเป็นวิชาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชีววิทยากับสังคมศาสตร์
การตีความของวิชานี้จึง แตกต่างกันไปจนทำให้เกิด สำนักศึกษา
หรือกลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยา เกิดขึ้นหลายกลุ่มในยุคการศึกษาเรื่องจิตนี้ นักปราชญ์ชาวอังกฤษชื่อ จอห์น ล็อค
เป็นบุคคลสำคัญที่กล่าวว่า จิตคือการที่บุคคลรู้สึกตัว
ซึ่งเขาเรียกสิ่งนี้ว่าจิตสำนึก นั่นคือการที่คนเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
คิดอะไรอยู่ มนุษย์ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 คือกายและจิตใจ ส่วนที่สำคัญที่สุดของจิต คือ
ส่วนที่ควบคุมหรือสั่งการกระทำให้เกิดการเคลื่อนไหวต่างๆของร่างกายแต่ในที่สุด
การศึกษาจิตวิทยาในลักษณะของจิตก็ได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในปี ค.ศ. 1879 วิลเฮล์ม วุ้นด์ท (Wilhem Wund 1832-1920) บิดาแห่งจิตวิทยาผู้ซึ่งทำให้จิตวิทยแยกตัวออกมาจากปรัชญา
จนได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ห้องทดลองทางจิตวิทยาถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อศึกษาเรื่องโครงสร้างของจิตสำนึกของมนุษย์(Conscious)ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการศึกษาจิตวิทยาตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น